เดบบร้า บี ประสบการณ์ความตาย
Home Page ประสบการณ์ใกล้ตาย – เรื่องเล่าล่าสุด เล่าประสบการณ์ใกล้ตายของคุณ



Experience description:

ดิฉันป่วยเป็นเวลาหลายเดือน อันเนื่องจากปัญหาเรื่อง ถุงน้ำดี ถุงน้ำดีของดิฉันแตก จึงต้องรีบไปโรงพยาบาล ศัลยแพทย์ได้ผ่าตัดนำเอาก้อนนิ่วหลายก้อนออกจากถุงน้ำดีของดิฉัน หลังจากนั้น ดิฉันก็ออกจากโรงพยาบาล โดยต้องมีถุงพลาสติกห้อยอยู่ข้างตัวสำหรับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ยังคงมีก้อนนิ่วค้างอยู่หลายก้อน ซึ่งศัลยแพทย์ไม่สามารถเอาออกมาให้หมดได้ เพราะนายแพทย์เห็นว่า มันเป็นงานใหญ่เกินไปที่จะผ่าตัดครั้งเดียว ดิฉัน ออกจากโรงพยาบาลก่อนวันเฉลิมฉลองพระผู้เป็นเจ้า (แท๊งค์กิฟวิ่ง)เพียง 1 วัน และต้องกลับไปให้หมอผ่าเอาก้อนนิ่วส่วนที่เหลือทั้งหมดออกมาอีกในหลายสัปดาห์ถัดมา ในช่วงคืนวันอาทิตย์กล่าวได้ว่า ดิฉันอยู่ในช่วงวิกฤตเลยก็ว่าได้ ดิฉันถูกพาตัวไปส่งโรงพยาบาลด้วยรถพยาบาลฉุกเฉิน และถูกนำตัวโดยด่วนไปยังห้องผ่าตัดทันที ดิฉันฟื้นลืมตาตื่นมาอีกครั้งอีก 2 วันต่อมา ในห้องไอซียูในสภาพที่แย่มาก ดิฉันคาดว่า ดิฉันคงจะไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้อีกแล้ว ดิฉัน สลึมสลือตลอดเวลา เดี๋ยวหมดสติ เดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ไปๆมาๆแบบนี้ ไม่รู้ว่า เป็นเพราะยาสลบหรือยาที่ฉีดให้ดิฉัน หรือผลจากการผ่าตัด หรือ จากยาที่กินเข้าไปในร่างกาย ดิฉันค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ ดิฉันยังคงลุกขึ้นนั่งไม่ได้ และเคลื่อนไหวไม่ได้ดีเท่าที่ควร แต่ดิฉันก็ยังมีสติดี รู้เรื่องราวรอบๆตัวได้ ครอบครัวของดิฉันต่างให้กำลังใจว่า ดิฉันจะต้องสามารถเอาชนะมันให้ได้ แม้แต่คุณหมอที่รักษาดิฉันก็ยังไม่มั่นใจว่า ดิฉันจะเอาชนะความเจ็บไข้นี้ได้ คุณหมอยังรู้สึกแปลกประหลาดใจมาก ที่เห็นว่า ดิฉันมีอาการดีขึ้น ซึ่งความจริงแล้ว ดิฉันไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรนัก ดิฉันยังจำได้ดีว่า วันนี้ ดิฉันอยู่ในสภาพที่แย่มากๆ แย่กว่าวันอื่นๆก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้ ดิฉันรู้สึกดีขึ้นทุกๆวัน ดิฉันรู้สึกมึนงงไปหมดจนไม่สามารถอธิบายได้ เมื่อตามคุณหมอมาแล้ว ดิฉันก็ยังจำได้ว่า ขณะนั้น มีเจ้าหน้าที่หลายๆคนเข้ามาดูดิฉัน รวมทั้งการเจาะเลือด การห้อยสายระโยงรยางค์รอบๆตัวดิฉัน พวกเขาเริ่มติดต่อกับครอบครัวของดิฉัน นอกจากนี้ ยังได้โทรศัพท์ติดตามลูกสาวของดิฉัน ซึ่งเธออาศัยอยู่ที่รัฐอะลาบามา ลูกสาวดิฉันร้องไห้โฮ โดยที่ดิฉันได้ปลอบประโลมเธอให้มีความสดใสขึ้น โดยแนะนำให้ออกไปซื้อของสำหรับวันคริสต์มาสประจำปี ลูกสาวของดิฉันถามดิฉันว่า อยากได้ของขวัญอะไรเป็นของขวัญ

วันคริสต์มาส แต่ดิฉันก็ตอบว่า ไม่ต้องการอะไร เพียงแต่ว่า ได้เห็นหน้าลูกสาวของดิฉันก็เป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่ต้องการแล้ว เวลาก็ค่อยๆผ่านไป โดยมีพยาบาลมาดูแลดิฉันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้แต่ตัวดิฉันเองในขณะนั้น ก็ยังไม่รู้ตัวว่า ตัวเองเจ็บป่วยขนาดหนักแล้ว

ดิฉันงีบหลับไป แล้วจำได้ว่า ได้เห็นถนนที่โรยด้วยกรวดสีขาวก้อนเล็กๆ ดิฉันเท้าเปลือยเพราะไม่ได้สวมรองเท้า แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า ทำไมดิฉันไม่เจ็บเท้าเลยเวลาเดินด้วยเท้าเปล่า พระอาทิตย์กำลังส่องแสงสว่าง เสียงนกกำลังร้องเพลง มีดอกไม้ที่สวยงามปลูกอยู่ข้างถนน และมีลมโชยมาอ่อนๆตลอดเวลา ดิฉันรู้ว่า ดิฉันต้องเดินไปตามถนนเส้นนี้ แต่ไม่รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ดิฉันตัดสินใจเช่นนั้น ซึ่งดิฉันก็มั่นใจว่า ดิฉันกำลังเดินทางไปสู้สรวงสวรรค์แน่นอน ถนนด้านหนึ่ง จะมีป่าที่รกและหนามากปกคลุมด้วยต้นไม้ ส่วนถนนอีกข้างหนึ่งซึ่งเป็นด้านซ้าย กลับสวยงามมีแสงสว่างส่อง ด้านขวากลับดูทึมทึกและมืดครึ้ม ดิฉันก็ไม่รู้ว่า ทำไมถนนทั้งสองข้างจึงแตกต่างกัน ข้างหนึ่งดูมืดครึ้ม ส่วนอีกข้างหนึ่งกลับใสสว่าง ดิฉันรู้ดีว่า มีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในที่มืดของถนนข้างขวา ซึ่งดิฉันคิดว่า มันเป็นปีศาจของความชั่วร้ายสิงสถิตอยู่ในที่มืดนั้น หากดิฉันก้าวเข้าไปยังที่มืดนั้น ดิฉันมั่นใจว่า ดิฉันจะต้องหลงหายไปในความมืดแน่นอนเลย ขณะที่กำลังก้าวเดิน ดิฉันก็รู้สึกว่า มีบางสิ่งบางอย่างกำลังเดินติดตามดิฉัน จากป่านั้น เบื้องต้น ดิฉันได้เห็นแต่ลูกนัยน์ตาเท่านั้น เป็นลูกตาสีแดงเพลิงเลยทีเดียว แต่ดิฉันไม่ได้กลัวมันเลย ดิฉันรู้ดีว่า มันไม่สามารถทำอันตรายตัวดิฉันได้เมื่อดิฉันยังคงเดินอยู่บนถนนกรวดสีขาว ยิ่งเดินต่อไป (มันดูเหมือนระยะสั้นๆ แต่บางครั้งก็ดูแล้วเป็นระยะทางไกลพอสมควร) ป่าข้างทางที่เคยทึบ ก็ดูแล้วค่อยๆโปร่งขึ้นมา ดิฉันก็เริ่มสังเกตเห็นอย่างรางๆของภาพเจ้าสิ่งมีชีวิตดวงตาสีแดงนั้น ดิฉันเริ่มเห็นชัดขึ้นทีละน้อยๆ มันเหมือนกับปีศาจที่ดิฉันเคยดูในโรงภาพยนตร์ มันมีรูปร่างอัปลักษณ์ มีปีกด้านหลังและมีเขางอกออกจากหน้าผาก ดิฉันเริ่มได้กลิ่นเหม็นสาบของบางอย่างซึ่งดิฉันก็แยกไม่ออกว่า มันเป็นกลิ่นเหม็นของอะไร ภายหลังจากนั้น ดิฉันก็รู้ว่ากลิ่นเหม็นดังกล่าวก็คือกลิ่นจากซัลเฟอร์(กลิ่นของ

กำมะถัน) ดิฉันยังคงเดินต่อไปเดินต่อไป จนถึงชายเขา ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ค่อยชันมาก และดิฉันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยเพลีย ดิฉันเริ่มไต่ขึ้นยอดเขาไปเรื่อยๆ พลันดิฉันก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของดิฉัน และให้ดิฉันหยุดอยู่แค่นั้น ดิฉันได้ยินเสียงโดยไม่ใช้ใช้โสต(หู) แต่ดิฉันได้ยินเสียงเรียกผ่านทางจิตวิญญาณ และผ่านมาทางด้านจิตใจ ดิฉันรู้ดีว่า นั่นเป็นเสียงของพระเยซูคริสต์เจ้านั่นเอง พระองค์ตรัสว่า ดิฉันไม่ควรจะไต่ขึ้นยอดเขา และดิฉันสมควรกลับเพราะว่า ลูกชายของดิฉันยังต้องการดิฉัน ดิฉันจำได้ว่า ดิฉันได้ทูลพระองค์ว่า ดิฉันเดินทางมาไกลเหลือเกิน มีความเหนื่อยและเมื่อยล้ามาก ดิฉันมีความเบื่อหน่ายในชีวิต เบื่อหน่ายในโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น (สามีของดิฉันเป็นคนที่อารมณ์ร้ายมาก) พระองค์ได้ทรงตรัสตอบดิฉันว่า ไม่เป็นไรหรอก พระองค์จะประทานสิ่งอื่นที่ดีกว่าให้แก่ดิฉัน ดิฉันไม่ต้องการกลับไปเนื่องจากขณะนั้น ดิฉันได้สัมผัสกับความสงบสุข ได้สัมผัสกับความรักที่แท้จริง ดิฉันเริ่มเดินถอยหลังกลับไปตามทางเดินอันเดิม และมองหันกลับไปอีกครั้งหนึ่ง ก็เห็นภาพเจ้าปีศาจยืนอยู่บนทางเดินไปยังเนินเขาเล็กๆของป่านั้น ดิฉันได้เห็นภาพเต็มตัวของปีศาจนั้นแล้ว ก็รู้ดีว่า เจ้าปีศาจตนนั้นก็คือ ซาตาน นั่นเอง ดิฉันสงสารเจ้าปีศาจนั้นมาก มันเริ่มหันหลังและเดินกลับเข้าไปยังป่าทึบนั้น พลันดิฉันก็ตื่นขึ้นมา ก็พบว่า มีทั้งนายแพทย์และพยาบาลยืนห้อมล้อมรอบเตียงที่ดิฉันนอนอยู่ ปฏิกิริยาแรกของดิฉันก็คือ ทำไมพวกเขาจึงมายืนห้อมล้อมดิฉัน

คุณหมอบอกดิฉันว่า ดิฉันได้ตายไปแล้วเกือบ 3 วินาที ดิฉันนอนหลับไปแบบไม่รู้สึกตัวเป็นเวลาหลายชั่วโมง ไม่ใช่แค่ไม่กี่นาที ดิฉันเห็นสามีและลูกๆยืนอยู่นอกห้อง และได้เห็นรอยยิ้มของลูกชายดิฉันทำให้ดิฉันมีความสุขมาก และนั่นก็คือสิ่งดีๆที่พระเยซูได้ประทานให้แก่ดิฉัน ดิฉันฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและอีกไม่กี่วันต่อมา ดิฉันก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ ดิฉันรีบกลับไปเยี่ยมคุณแม่ที่แก่ชราของดิฉัน ร่วมงานฉลองคริสต์มาสกับลูกสาวของดิฉัน มันช่างเป็นวันคริสต์มาสที่วิเศษสุดเหลือเกินในปีนั้น ดิฉันได้เล่าเรื่องนี้หลายๆครั้งในหลายๆปีที่ผ่านมา และรายละเอียดที่เล่าก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างๆไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ดิฉันมักจะเล่าให้คนอื่นได้รับรู้ก็คือ ความวิเศษสุดที่ได้มีโอกาสไปยังแดนสรวงสวรรค์ ดิฉันคิดว่า ดิฉันควรจะวาดเป็นภาพออกมาให้คนอื่นได้เห็นและได้รับรู้กับสิ่งที่ฉันได้ไปประสบมา แต่ก็มีความแปลกประหลาดที่จะมีบางสิ่งบางอย่างมายับยั้งความคิดของดิฉัน ดิฉันเดาเองเลยว่า ดิฉันคงจะเป็นบุคคลคนเดียวที่ได้เห็นประตูสู่สวรรค์ในวันนั้น